แชร์ผ่าน


ER ตั้งค่าคอนฟิกรูปแบบเพื่อทำการตรวจนับและสรุป (ส่วนที่ 2 - ตั้งค่าคอนฟิกการคำนวณ)

ขั้นตอนต่อไปนี้อธิบายวิธีกำหนดผู้ใช้ให้กับผู้ดูแลระบบหรือวิธีการที่บทบาทนักพัฒนาการรายงานทางอิเล็กทรอนิกส์สามารถตั้งค่าคอนฟิกรูปแบบการรายงานทางอิเล็กทรอนิกส์ (ER) เพื่อทำการตรวจนับและสรุปตามข้อมูลของผลลัพธ์ข้อความที่สร้างขึ้นแล้ว สามารถดำเนินการขั้นตอนเหล่านี้ได้ในบริษัทใดก็ได้

เพื่อทำขั้นตอนเหล่านี้ให้เสร็จสมบูรณ์ อันดับแรกคุณต้องทำตามขั้นตอนในกระบวนงาน "ER ตั้งค่าคอนฟิกรูปแบบเพื่อทำการตรวจนับและสรุป (ส่วนที่ 1: สร้างรูปแบบ)" ให้เสร็จสมบูรณ์

กระบวนงานนี้ใช้สำหรับคุณลักษณะทั้ที่ถูกเพิ่มลงใน Dynamics 365 for Operations รุ่น 1611

สร้างการตั้งค่าคอนฟิกรูปแบบเพื่อเพิ่มรายละเอียดการตรวจนับและการสรุป

  1. ไปที่การจัดการองค์กร > พื้นที่ทำงาน > การรายงานทางอิเล็กทรอนิกส์
  2. คลิก การตั้งค่าคอนฟิกการรายงาน
  3. ในแผนภูมิ ขยาย 'Intrastat model'
  4. ในแผนภูมิ เลือก 'Intrastat model\Intrastat (DE)'
    • สมมติว่าคุณจำเป็นต้องกำหนดรูปแบบที่ระบุโดย Microsoft โดยการเพิ่มบรรทัดพร้อมกับรายละเอียดสรุปที่ส่วนท้ายของรายงานอินทราสแทต คุณจะต้องทำเช่นนั้นโดยได้รับอินสแตนซ์ของการตั้งค่าคอนฟิกอินทราสแทตของเราจากอินสแตนซ์ Microsoft เพื่อทำการปรับเปลี่ยน
  5. คลิก สร้างการตั้งค่าคอนฟิก เพื่อเปิดกล่องโต้ตอบการวาง
  6. ในฟิลด์ใหม่ ป้อน 'ได้รับมาจากชื่อ: อินทราสแทต (DE), Microsoft'
  7. ในฟิลด์ชื่อ พิมพ์ 'อินทราสแทต (DE) พร้อมกับการตรวจนับ & การสรุป'
  8. คลิก สร้างการตั้งค่าคอนฟิก

ตั้งค่าคอนฟิกรายงานนี้เพื่อทำการตรวจนับและสรุปตามรายละเอียดผลลัพธ์

  1. คลิก ตัวออกแบบ
  2. เลือก ใช่ ในฟิลด์ รวมบรวมรายละเอียดผลลัพธ์
    • แฟล็กนี้จะเปิดใช้งานในเวลาที่ใช้ในการผลิตกระบวนการรวบรวมรายละเอียดผลลัพธ์สำหรับการสร้างไฟล์อินทราสแทต
    • คุณต้องทำการตรวจนับสำหรับทิศทางอินทราสแทตที่แตกต่างกัน ดังนั้น ให้เพิ่มการแจงนับแบบจำลองเฉพาะลงในรายการของแหล่งข้อมูลของการตั้งค่าคอนฟิกรูปแบบนี้
  3. คลิกแท็บ การแม็ป
  4. คลิกเพิ่มรากเพื่อเปิดกล่องโต้ตอบการวาง
  5. ในแผนภูมิ เลือก 'Data model\Enumeration '
  6. ในฟิลด์ชื่อ ให้พิมพ์ 'ทิศทาง'
  7. ในฟิลด์การแจงนับแบบจำลอง ให้ป้อนหรือเลือกค่า
    • เลือกค่า ทิศทาง
  8. คลิก ตกลง
  9. คลิกเพิ่มรากเพื่อเปิดกล่องโต้ตอบการวาง
  10. ในแผนภูมิ เลือก 'ฟิลด์ที่คำนวณ\ฟังก์ชันได้'
  11. ในฟิลด์ชื่อ ให้พิมพ์ '$BlockName'
  12. คลิก แก้ไขสูตร
  13. ในฟิลด์สูตร ให้ป้อน '"บล็อค"'
  14. คลิก บันทึก
  15. ปิดหน้า
  16. คลิก ตกลง
  17. คลิกเพิ่มรากเพื่อเปิดกล่องโต้ตอบการวาง
  18. ในแผนภูมิ เลือก 'ฟิลด์ที่คำนวณ\ฟังก์ชันได้'
  19. ในฟิลด์ชื่อ ให้พิมพ์ '$RecName'
  20. คลิก แก้ไขสูตร
  21. ในฟิลด์สูตร ให้ป้อน '"เรกคอร์ด"'
  22. คลิก บันทึก
  23. ปิดหน้า
  24. คลิก ตกลง
  25. คลิกเพิ่มรากเพื่อเปิดกล่องโต้ตอบการวาง
  26. ในแผนภูมิ เลือก 'ฟิลด์ที่คำนวณ\ฟังก์ชันได้'
  27. ในฟิลด์ชื่อ ให้พิมพ์ '$InvName'
  28. คลิก แก้ไขสูตร
  29. ในฟิลด์สูตร ให้ป้อน '"InvoicedAmountEUR"'
  30. คลิก บันทึก
  31. ปิดหน้า
  32. คลิก ตกลง
  33. ในแผนภูมิ ให้เลือก 'Intrastat\Data'
  34. คลิกปุ่มแก้ไขสำหรับฟิลด์ 'ชื่อคีย์ข้อมูลที่รวบรวม'
  35. คลิก เพิ่มแหล่งข้อมูล
    • $BlockName
  36. คลิก บันทึก
  37. ปิดหน้า
  38. คลิกปุ่มแก้ไขสำหรับฟิลด์ ค่าคีย์ข้อมูลที่รวบรวม
  39. ในฟิลด์สูตร ป้อน 'IF(Intrastat.CommodityRecord.Direction=Direction.Import, "Import", "Export")'
    • IF(Intrastat.CommodityRecord.Direction=Direction.Import, "Import", "Export")
  40. คลิก บันทึก
  41. ปิดหน้า
    • ตรวจนับจำนวนบรรทัดของลำดับนี้ ผลลัพธ์จะถูกใช้พร้อมกับชื่อ "บล็อค" โดยแยกต่างหากสำหรับทิศทางที่แตกต่างกัน จะมีการใช้ค่า "นำเข้า" สำหรับธุรกรรมอินทราสแทตขาเข้าใดๆ ค่า "ส่งออก" จะถูกใช้สำหรับธุกรรมการจัดส่งอินทราสแทตใดๆ ให้พิจารณาสิ่งนี้เป็นแผ่นตารางทำการ Excel เสมือน สำหรับธุรกรรมแต่ละรายการ แถวที่ซึ่งคอลัมน์แรก "บล็อค" ถูกเติมด้วยค่า "นำเข้า" และ "ส่งออก" อย่างสอดคล้องกัน
  42. ในแผนภูมิ ขยาย 'Intrastat\Data: Sequence'
  43. ในแผนภูมิ เลือก 'Intrastat\Data: Sequence\Arrivals?'
  44. คลิกปุ่ม แก้ไข สำหรับฟิลด์ 'ชื่อคีย์ข้อมูลที่รวบรวม'
    • ตรวจนับจำนวนบรรทัดของลำดับนี้ ระบบจะจดจำผลลัพธ์โดยใช้ชื่อ "เรกคอร์ด"
  45. ในแผนภูมิ ให้เลือก '$RecName'
  46. คลิก เพิ่มแหล่งข้อมูล
  47. คลิก บันทึก
  48. ปิดหน้า
  49. คลิกปุ่ม แก้ไข สำหรับฟิลด์ 'ค่าคีย์ข้อมูลที่รวบรวม'
  50. ในฟิลด์สูตร ให้ป้อน 'Intrastat.CommodityRecord.CommodityCode'
  51. คลิก บันทึก
  52. ปิดหน้า
    • ตรวจนับจำนวนบรรทัดของลำดับนี้ ผลลัพธ์จะถูกนำไปใช้พร้อมกับชื่อ "เรกคอร์ด" โดยแยกต่างหาก สำหรับรหัสโภคภัณฑ์ที่แตกต่างกัน ให้พิจารณาสิ่งนี้เป็นแผ่นตารางทำการ Excel เสมือน สำหรับธุรกรรมแต่ละรายการ แถวที่ซึ่งคอลัมน์แรก "บล็อค" ถูกเติมด้วยค่า "นำเข้า" และ "ส่งออก" อย่างสอดคล้องกัน และบล็อคที่สอง "เรกคอร์ด" ถูกเติมด้วยค่ารหัสโภคภัณฑ์
  53. ในแผนภูมิ เลือก 'Intrastat\Data: Sequence\Dispatches?'
  54. คลิกปุ่มแก้ไขสำหรับฟิลด์ 'ชื่อคีย์ข้อมูลที่รวบรวม'
  55. ในแผนภูมิ ให้เลือก '$RecName'
  56. คลิก เพิ่มแหล่งข้อมูล
  57. คลิก บันทึก
  58. ปิดหน้า
  59. คลิกปุ่ม แก้ไข สำหรับฟิลด์ ‘ค่าคีย์ข้อมูลที่รวบรวม‘
  60. ในฟิลด์สูตร ให้ป้อน 'Intrastat.CommodityRecord.CommodityCode'
  61. คลิกบันทึก
  62. ปิดหน้า
  63. ในแผนภูมิ ขยาย 'Intrastat\Data: Sequence\Dispatches: Sequence?'
  64. ในแผนผัง ขยาย 'Intrastat\Data: Sequence\Dispatches: Sequence?\Record = Intrastat.CommodityRecord'
  65. คลิกแท็บรูปแบบ
  66. ในแผนภูมิ เลือก ''Intrastat\Data\Dispatches\Record\Invoice amount EUR'
  67. คลิกแท็บ การแม็ป
  68. คลิกปุ่ม แก้ไข สำหรับฟิลด์ 'ชื่อคีย์ข้อมูลที่รวบรวม'
  69. ในแผนภูมิ ให้เลือก '$InvName'
  70. คลิก เพิ่มแหล่งข้อมูล
  71. คลิก บันทึก
  72. ปิดหน้า
    • สรุปค่ายอดเงินใบแจ้งหนี้สำหรับบรรทัดของลำดับนี้ ผลลัพธ์จะถูกใช้พร้อมกับชื่อ "InvoicedAmountEUR" โดยแยกต่างหาก สำหรับทิศทางอินทราสแทตและรหัสโภคภัณฑ์ที่แตกต่างกัน ให้พิจารณาสิ่งนี้เป็นการสร้างเสมือนในแผ่นตารางทำการ Excel สำหรับธุรกรรมแต่ละรายการ แถวที่ซึ่งคอลัมน์แรก "บล็อค" ถูกเติมด้วยค่า "นำเข้า" และ "ส่งออก" อย่างสอดคล้องกัน บล็อคที่สอง "เรกคอร์ด" ถูกเติมด้วยค่ารหัสโภคภัณฑ์ และคอลัมน์ที่สาม “InvoicedAmountEUR” ถูกเติมด้วยค่ายอดเงินใบแจ้งหนี้
  73. ในแผนภูมิ ขยาย 'Intrastat\Data\Arrivals?'
  74. ในแผนผัง ขยาย 'Intrastat\Data\Arrivals?\Record = Intrastat.CommodityRecord'
  75. คลิกแท็บรูปแบบ
  76. ในแผนภูมิ เลือก ''Intrastat\Data\Arrivals\Record\Invoice amount EUR'
  77. คลิกแท็บ การแม็ป
  78. คลิกปุ่ม แก้ไข สำหรับฟิลด์ 'ชื่อคีย์ข้อมูลที่รวบรวม'
  79. ในแผนภูมิ ให้เลือก '$InvName'
  80. คลิก เพิ่มแหล่งข้อมูล
  81. คลิก บันทึก
  82. ปิดหน้า
  83. คลิก บันทึก
  84. ปิดหน้า